ลอกคราบพุทธแท้: ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทยร่วมสมัย

ศาสนาพุทธแบบไทย ๆ ไม่ได้เป็นแบบที่เห็นในปัจจุบันที่คนส่วนหนึ่งภาคภูมิใจในความมีเหตุผลขณะที่คนอีกส่วนหนึ่งก็หลงใหลไปกับการสร้างวัตถุหรือนิทานชาดกที่เน้นแต่ตอบรับด้วยสาธุ ๆ โดยไม่มีระบบความคิดอะไรที่ซับซ้อนแต่อย่างใด

หนังสือเล่มนี้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาด้วยภาษาและการอธิบายแบบวิชาการ โดยพาผู้อ่านสำรวจปรากฏการณ์พุทธศาสนาของไทยที่มีการพัฒนาอย่างมีนัยยะร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบเปรียบเทียบจนเกิดความหวงแหนกลัวว่าศาสนาพุทธจะสู้ความคิดเหล่านั้นที่เข้ามากระทบไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ ลัทธิเหตุผลนิยม ทุนนิยม คอมมิวนิสต์ ตลอดจนแฟมินิสต์

คนไทยรวม “ไสย” และ “พุทธ” เป็นหนึ่งเดียวมาอย่างยาวนาน ทัศนะนิพพานและโลกหน้าเป็นเรื่องไกลตัว ติดไว้ก่อน ตั้งไว้เพื่อบูชาเป็นของสูง แต่ชีวิตจริงผู้ปฏิบัติธรรมจะชื่นชอบในอวิชชาและถูกจริตมากกว่าด้วยซ้ำ

การปฏิรูปศาสนาพุทธเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในสมัยรัชกาลที่ 4 ธรรมยุตินิกายถูกยกระดับเป็นพุทธเหตุผลนิยมและเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อปะทะกับศาสนาคริสต์ที่นำมาใช้โดยฝรั่งที่วิจารณ์ว่าพุทธศาสนานั้นงมงาย ธรรมยุตินิกายแยกส่วนที่เป็นนิพพานและพุทธประวัติที่ล่องลอยออกไป แล้วเน้นความคิดของพุทธในระดับเหตุผลโดยกลับมาพิจารณาพระไตรปิฎกเป็นหลักสอดคล้องกับแนวคิดของคริสตศาสนาที่เน้นตำราไบเบิ้ลเป็นข้ออ้างอิง

ธรรมยุตินิกายให้ข้อเปรียบเทียบในความเป็นพุทธแท้ มากกว่ามหานิกายที่วินัยสงฆ์หย่อนยานกว่าในทัศนะของธรรมยุตินิกาย แต่ธรรมยุตินิกายก็ไม่ชอบคำอธิบายของโลกหน้าและนิพพานในแบบเดิมคือแนวอภินิหารกฎแห่งกรรมมากกว่าผลของการกระทำตามเหตุตามผลทั้ง ๆ ที่คำอธิบายก็เป็นลักษณะนั้นมาโดยตลอด

การเดินทางทางความคิดของพุทธยังถูกกระทบโดยการปฏิวัติ 2475 และการท้าทายทางความคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์

จริยธรรมชาวพุทธแบบเบญจศีลเบญจธรรมที่พฤติกรรมตั้งอยู่บนศีล 5 เพิ่งถูกประดิษฐ์หลังการเกิดของธรรมยุตินิกายในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงกล่าวถึงความรุงรังของหลักพุทธศาสนาจนสรุปรับรองเรื่องศีล 5 และให้สอนออกไปตามโรงเรียน ไมทัศนะเรื่องนิพพานถูกละเลยละเว้นไม่กล่าวถึงอีกต่อไป แต่ให้ยกสูงตั้งไว้รางกับอุดมการณ์เพื่อบูชา มีการเน้นเรื่องศีล 5 มาโดยตลอดให้เป็นฐานคิดอุดมการณ์ทางพุทธศาสนาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และชัดเจนมากตั้งแต่ยุค จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา

ศาสนาพุทธถูกขับเคลื่อนต่อด้วยชนชั้นกลางไทย คนส่วนใหญ่ของประเทศ อุดมการณ์ศาสนาที่สร้างประโยชน์ เข้าใจง่าย มีเหตุผล สำคัญมากว่าศาสนาในลักษณะกราบไหว้แบบชาวบ้าน พุทธแบบปัญญาชนจึงถือกำเนิดขึ้นโดยยกระดับผู้นับถือให้แตกต่างจากพุทธชาวบ้าน ที่กลายเป็นไร้เหตุผล นิยมของขลัง ที่พึ่งทางใจ ขณะที่ผู้ที่อ้างตัวว่านับถือพุทธแบบปัญญาชนก็แอบจริตนับถือผีไสยศาสตร์อยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าแสดงตัวมาก

พุทธแบบสวนโมกข์ สันติอโศก และธรรมกายจึงปรากฏตัวตอบรับกระแสชนชั้นกลางอย่างมีเหตุปัจจัย 3 สำนักนี้เน้นไตรสิกขากันคนละด้าน สันติอโศกเน้น “ศีล” ธรรมกายเน้น “สมาธิ” และสวนโมกข์เน้น "ปัญญา"

การเฟื่องฟูของแนวคิดพุทธศาสนา 3 สำนักนี้เกิดจากการล่มสลายของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ หนุ่มสาวที่ออกจากป่าหันอุดมการณ์จากฝ่ายซ้ายมาหาอุดมการณ์ทางศาสนาพุทธที่เป็นเหมือนทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมกว่า

เป็นหนังสือดีครับ มีรายละเอียดทางวิชาการมากเนื่องจากแตะเรื่องศาสนา ไม่สามารถนำเสนอข้อมูลลอย ๆ โดยไม่ให้หลักฐานเชิงประจักษ์ได้

"ลอกคราบพุทธแท้: ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทยร่วมสมัย" เขียนโดย อาสา คำภา พิมพ์ในปี 2567 ความหนา 320 หน้า ระดับความยาก: ปานกลางถึงยาก เหมาะสำหรับผู้ที่ใฝ่รู้ในแก่นรากความคิดของพุทธศาสนาแบบไทย ๆ เล่มนี้ผมให้คะแนน 9/10

#BookReview #ลอกคราบพุทธแท้ #รีวิวโดยกนก #กนกลีฬหเกรียงไกร

ความคิดเห็น