หลักพื้นฐานในการตีความพระคัมภีร์ (Hermeneutics)

จริง ๆ พระคัมภีร์ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป แม้จะอ่านโดยยังไม่รู้หลักการตีความก็ตาม เพราะลักษณะการเขียน ภาษา หรือเรื่องราว ไม่ได้ยากขนาดต้องเป็นนักวิชาการเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าใจได้

อย่างไรก็ตามหากเรามีหลักการตีความที่ดี ก็จะเป็นเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าเรื่องราวที่เราอ่านน่าจะเข้าใจได้และมีคำสอนที่ดีเพื่อเราจะได้รับพระพรมากขึ้นจากการอ่านพระวจนะ

หลักพื้นฐาน 3 ประการในการตีความพระคัมภีร์ (Hermeneutics - เฮอร์มิวนิติกส์)

1. หลักการตีความตามตัวอักษร (Literal Interpretation)

โดยทั่วไปควรพยายามเข้าใจข้อความในความหมายที่ตรงไปตรงมาและเป็นปกติที่สุด (Normal Sense) เว้นแต่บริบทจะบ่งชี้ว่าเป็นสัญลักษณ์ (Symbolism) คำอุปมา (Parable) หรือบทกวี (Poetry)

2. หลักพิจารณาบริบท (Contextual Interpretation)

สามารถแบ่งบริบทได้เป็น 3 ลักษณะคือ

2.1 บริบทใกล้เคียง (Immediate Context) หมายถึงพิจาณาข้อความที่อยู่ "ก่อนหน้า" และ "หลังจาก" ข้อนั้นเพื่อทำความเข้าใจว่าผู้เขียนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร โดยหลีกเลี่ยงการดึงข้อความมาใช้โดด ๆ นอกบริบท

2.2 บริบทของบทและเล่ม (Book/Chapter Context) พยายามทำความเข้าใจกับวัตถุประสงค์และโครงสร้างของพระธรรมเล่มนั้นทั้งหมด เช่น พระธรรมโรมเขียนเพื่อสอนหลักความรอด พระธรรมยากอบเขียนเพื่อสอนเรื่องการกระทำที่สอดคล้องกับความเชื่อ พระธรรมสดุดีเป็นบทเพลงที่กล่าวถึงความรู้สึกของผู้แต่งที่มีต่อเหตุการณ์หนึ่ง ๆ เป็นต้น

2.3 บริบทพระคัมภีร์ทั้งหมด (Biblical Context) โดยผู้ตีความควรศึกษาเข้าใจแผนการใหญ่ของพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ตั้งแต่การทรงสร้าง ความบาป การล้มลงในบาปของมนุษย์ แผนการไถ่บาป ชนชาติของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ คริสตจักร และวาระสุดท้าย เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าการตีความนั้นสอดคล้องกับคำสอนโดยรวมทั้งหมดของพระเจ้า

3. หลักวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์และไวยากรณ์ (Historical-Grammatical Method)

เช่น เข้าใจผู้เขียน ผู้รับ วันเวลาสถานที่ที่ตอนนั้น ๆ ถูกเขียนขึ้น การทำความเข้าใจภูมิหลังของยุคสมัย ซึ่งทั้งหมดจะช่วยให้เข้าใจความหมายของคำและธรรมเนียมปฏิบัติมากขึ้น ส่วนเรื่องไวยากรณ์และโครงสร้างภาษา การเข้าใจรากศัพท์จะช่วยให้สามารถศึกษาความหมายที่แท้จริงของคำในภาษาเดิม คือ ฮีบรู กรีก อาราเมค ได้ดีขึ้น เป็นต้น

ขั้นตอนการแปลความหมายโดยทั่วไป จะใช้หลัก

1. สังเกต (Observation) พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังพูดถึงอะไร การสังเกตที่ดีให้ดูจากตัวพระคัมภีร์โดยใช้หลักให้พระคัมภีร์ค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องราวและคำสอนของตอนนั้น ๆ (Exegesis - เอ็กเซอจิซิส)

2. ตีความ (Interpretation) ใช้หลักการตีความ (Hermeneutics) เพื่อค้นหาความหมายของพระคัมภีร์ตอนนั้น ๆ

3. ประยุกต์ใช้ (Application) โดยนำหลักที่ได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้ไปต่อยอดประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง

เหมือนการเฝ้าเดี่ยวที่เราใช้แนวทางเดียวกันในการศึกษาพระคัมภีร์แต่ละวัน

2 ทิโมธี 2:15 จง​อุต​ส่าห์​ถวาย​ตัว​ท่าน​เอง​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​รับรอง​แล้ว​แด่​พระ​องค์ เป็น​คน​งาน​ที่​ไม่​อับ​อาย สอน​พระ​วจนะ​แห่ง​ความ​จริง​อย่าง​ถูกต้อง

พระวจนะมีไว้เพื่อเป็นพรต่อชีวิตเราทั้งรับด้วยใจและสอนออกไป หากเรานำหลักข้างต้นไปใช้จนคล่องแคล่ว ความเข้าใจพระคัมภีร์ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ขอพระเจ้าเสริมกำลังครับ

#Hermeneutics

ความคิดเห็น