บทความนี้จะพาเราไปสำรวจคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณของผู้รับใช้พระเจ้าในยุคหลัก ๆ ตั้งแต่สมัยพระเยซูคริสต์จนถึงปัจจุบันเพื่อสังเกตการพัฒนาการของการทรงเรียกตลอดจนการเรียกร้องคุณสมบัติผู้รับใช้พระเจ้าจากชุมชนแห่งความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุค
![]() |
| คณะศิษยาภิบาลที่ตั้งใจดำเนินชีวิตในคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณตามพระคัมภีร์ |
1. สมัยพระเยซูทรงเรียกสาวก
พระเยซูตรัสแบบเรียบง่าย "จงตามเรามา" และใครถูกเรียกและตามพระองค์ไปก็คือผู้ที่ถูกเลือก แต่พระเยซูทรงมีวิจารณญาณแบบพระเจ้า ทรงทราบทุกสิ่ง และการเลือกของพระองค์ก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับผู้ที่ตอบรับ การตอบรับการทรงเรียกจึงเป็นคุณสมบัติแรกของผู้รับใช้พระเจ้า
มัทธิว 4:19-20 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า “จงตามเรามา และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” เขาจึงละทิ้งแหตามพระองค์ไปทันที
2. สมัยอัครทูตในการเลือกคณะเจ็ดมัคนายก
เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการขยายตัวของชุมชนผู้เชื่อประมาณ 5,000 คน (นับเฉพาะผู้ชาย) และเกิดเหตุการณ์การดูแลแจกอาหารให้แม่ม่ายชาวยิวที่พูดฮีบรูและยิวที่พูดกรีก (Hellenistic Jews) ไม่เท่าเทียมกัน
อัครทูตจึงปรึกษากันว่าจะหาผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้เพื่ออัครทูตจะทำในสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้ทำคือการประกาศสั่งสอนซึ่งเป็นพันธกิจแห่งพระวจนะ
กิจการของอัครทูต 6:3 (THSV11) เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเลือกเจ็ดคนในพวกท่านที่มีชื่อเสียงดี เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งให้พวกเขาดูแลงานนี้
ในฉบับ King James และ NIV เขียนไว้ว่า
Acts 6:3 (KJV) Wherefore, brethren, look ye out among you seven men of honest report, full of the Holy Ghost and wisdom, whom we may appoint over this business.
Acts 6:3 (NIV) Brothers and sisters, choose seven men from among you who are known to be full of the Spirit and wisdom. We will turn this responsibility over to them
เราสามารถพบคุณสมบัติผู้นำฝ่ายวิญญาณจากการแปลความหมายซึ่งจะหมายถึง "ผู้ที่มีชื่อเสียงดีว่า หรือที่เป็นที่ทราบกันว่า" เขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา
ในฉบับภาษาไทยของอมตธรรมใช้ประโยคได้ชัดเจน
กิจการของอัครทูต 6:3 TNCV (ฉบับอมตธรรม) พี่น้องทั้งหลาย จงเลือกคนเจ็ดคนในพวกท่านซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าเต็มด้วยพระวิญญาณและสติปัญญา เราจะได้มอบความรับผิดชอบนี้แก่พวกเขา
ฉะนั้นคุณสมบัติของผู้นำจากตอนนี้มีการพัฒนาขึ้นอีกเป็น
1. เต็มด้วยพระวิญญาณ
2. มีสติปัญญา
3. สามารถแก้ปัญหาเจาะจงได้ (กรณีนี้คือการแจกอาหารอย่างเท่าเทียมระหว่างสาวกที่เป็นแม่ม่ายชาวยิวพูดฮีบรูและยิวพูดกรีก)
ผลของการเลือกคณะเจ็ดได้ สาวกที่เป็นยิวที่พูดกรีก 6 คน และสาวกต่างชาติที่กลับใจถือศาสนายูดาห์และเป็นคริสเตียนพูดกรีก 1 คน มีรายชื่อดังนี้ 1.สเทเฟน (Stephen) 2.ฟีลิป (Philip) 3.โปรโครัส (Prochorus) 4.นิคาโนร์ (Nicanor) 5.ทิโมน (Timon) 6.ปารเมนัส (Parmenas) 7.นิโคเลาส์ (Nicholas) ชาวเมืองอันทิโอก พระคัมภีร์ระบุว่าเขาเป็นผู้เข้าจารีตในศาสนายิว
3. สมัยอัครทูตเปโตรและเปาโล
เปาโลแนะนำทิโมธีและทิตัสในการเลือกผู้นำ
จดหมายฝากถึงทิโมธีใน 1 ทิโมธี 3:1–13 อ.เปาโลได้แนะนำคุณสมบัติของผู้นำคริสตจักรไว้ดังนี้
ผู้ปกครอง (Bishop, episkope)
1. เป็นคนไม่มีที่ติ (above reproach, blameless) หมายถึงในความเติบโตในคุณภาพฝ่ายวิญญาณ
2. เป็นสามีของภรรยาคนเดียว
3. ประมาณตน
4. มีสติปัญญา
5. เป็นคนน่านับถือ เหมาะที่จะเป็นอาจารย์
6. มีอัธยาศัยต้อนรับแขกดี
7. ไม่ดื่มเหล้า (not addicted to wine) หมายถึงไม่ติดเหล้า
8. ไม่ชอบทะเลาะวิวาท
9. ไม่เห็นแก่เงิน
10. ดูแลครอบครัวของตนเองได้ดี
11. ไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งกลับใจใหม่
12. มีชื่อเสียงดีต่อคนภายนอก
มัคนายก (deacon)
1. เป็นคนน่านับถือ
2. ไม่พูดจากลับกลอก
3. ไม่ติดเหล้า
4. ไม่เห็นแก่เงิน
5. ยึดมั่นพระคัมภีร์ด้วยความจริงใจ
จดหมายฝากถึงทิตัสใน ทิตัส 1:5–9 อ.เปาโลได้แนะนำคุณสมบัติของผู้นำคริสตจักรไว้ดังนี้
1. เป็นคนไม่มีที่ติ (above reproach, blameless) หมายถึงในความเติบโตในคุณภาพฝ่ายวิญญาณ
2. เป็นสามีของภรรยาคนเดียว
3. มีบุตรที่มีความเชื่อ
4. ไม่ถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดหรือดื้อดึง
5. มีคุณสมบัติชีวิตที่ดี เช่น ไม่หยิ่งยโส ไม่โมโหง่าย ไม่ติดสุรา ไม่ชอบใช้กำลัง ไม่โลภ
6. มีคุณสมบัติในการอภิบาลศิษย์ เช่น มีอัธยาศัยต้อนรับแขก รักความดี มีสติ สุภาพ
7. เหมาะที่จะเป็นครู ยึดมั่นในพระวจนะที่ถูกต้องตามคำสอน เพื่อสามารถสั่งสอนผู้อื่น และชี้แจงผู้ที่คัดค้านได้ดี
เปโตรให้คุณสมบัติผู้อาวุโสในฐานะผู้เลี้ยงฝ่ายวิญญาณไว้ในจดหมายฝาก 1 เปโตร 5:1-4 สรุปได้ดังนี้
1. เอาใจใส่เลี้ยงดูแลฝูงแกะของพระเจ้าตามพระประสงค์พระเจ้า
2. ไม่โลภ
3. มีความกระตือรือร้น
4. ไม่ใช้อำนาจข่มขี่เหมือนเจ้านาย แต่เป็นแบบอย่าง
4. สมัยหลังคอนสแตนติน (ค.ศ.313)
สมัยนี้เริ่มมีการกำหนดบทบาทของผู้นำและผู้ตามชัดเจน แม้ยังไม่ได้แยกออกเป็นนักบวชและฆารวาทอย่างเป็นทางการ แต่พิธีกรรมหลายอย่างถูกจำกัดไว้ให้ผู้นำในระดับชั้นต่าง ๆ ปฏิบัติได้เท่านั้น
5. ยุคกลาง (ศตวรรษที่ 6-15)
สังคายนาลาเตอรันครั้งที่ 1 (First Lateran Council) คือสภาสังคายนาสากลครั้งแรกของศาสนจักรโรมันคาทอลิก จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1123 ณ กรุงโรม มีวางรากฐานให้ศาสนจักรมีอิสระจากการควบคุมของรัฐ และสังคายนาลาเตอรันครั้งที่ 2 (Second Lateran Council) ในปี ค.ศ. 1139 มีการปฏิรูปวินัยของนักบวช กำหนดให้บาทหลวงต้องถือโสดโดยสมบูรณ์ และมีการปฏิญาณตนตลอดชีวิต 3 ประการหลัก คือ
1. เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา เช่น มุขนายกหรือผู้ดูแลศาสนจักร
2. ครองถือโสด
3. ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย
6. สมัยหลังมาร์ติน ลูเธอร์ (ค.ศ.1517)
ยกเลิกการถือโสด และกำหนดคุณสมบัติหลักของนักบวชลูเธอรัน (Lutheran clergy) ได้แก่
1. มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง คือเป็นผู้ที่ “บังเกิดใหม่” มีประสบการณ์ความเชื่อส่วนตัว และยึดมั่นในหลัก “ความรอดโดยพระคุณ ผ่านความเชื่อ” (Sola Gratia, Sola Fide)
2. มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างตามหลักพระคัมภีร์ เช่น ซื่อสัตย์ ถ่อมตน ไม่โลภ ไม่ดื่มสุรา เป็นสามีของภรรยาคนเดียวได้ (ไม่ถือโสดเป็นข้อบังคับ)
3. สามารถสอนพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง โดยผ่านการอบรมหรือศึกษาจากสถาบันพระคริสตธรรมที่ได้รับการรับรอง
4. ได้รับการทรงเรียกและการรับรองจากคริสตจักร
5. มีจิตใจของผู้รับใช้
แนวทางของนักบวชในนิกายลูเธอรันจะต่างจากบาทหลวงโรมันคาทอลิกคือสามารถแต่งงานได้ตามพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นแนวทางของผู้รับใช้โปรเตสแตนต์จนถึงปัจจุบัน
7. ปัจจุบัน (ประเทศไทย)
คุณสมบัติของศิษยาภิบาลในสังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทย (ส.คร.: CCT)
1. เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง
2. ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า
3. ผ่านการอบรมหรือศึกษาด้านเทววิทยาจากสถาบันพระคริสตธรรมที่ได้รับการรับรอง
4. มีประสบการณ์รับใช้ในคริสตจักร
5. มีมนุษยสัมพันธ์และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
6. ได้รับการรับรองจากคริสตจักรท้องถิ่นโดยต้องได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากมัคนายกและสมาชิกคริสตจักรตามเกณฑ์ที่กำหนด และผ่านการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากสภาคริสตจักร
คุณสมบัติของศิษยาภิบาลตามแนวทางสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย (สคท.: EFT)
ต้องมีคุณสมบัติที่เน้นความเชื่อมั่นในพระเจ้า ความสามารถในการสอนพระวจนะ และการดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่างตามพระคัมภีร์ โดยอ้างอิงจาก 1 ทิโมธี 3:1-7 และทิตัส 1:5-9
1 .รักพระเจ้าและมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง
2. ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า
3. มีความรู้และความเข้าใจในพระวจนะ
4. มีความสามารถในการบริหารคริสตจักร
5. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
6. พึ่งพิงพระเจ้าในการดำเนินชีวิตและการรับใช้
คุณสมบัติของศิษยาภิบาลในสหคริสตจักรแบ๊พติสต์แห่งประเทศไทย (สคบ.: TBC)
ต้องมีคุณสมบัติด้านจิตวิญญาณ ความประพฤติ และการทรงเรียกจากพระเจ้า โดยอ้างอิงจากพระคัมภีร์ เช่น 1 ทิโมธี 3 และทิตัส 1 พร้อมผ่านการอบรมตามแนวทางของคริสตจักรแบ๊พติสต์
คุณสมบัติหลักของศิษยาภิบาลแบ๊พติสต์
1. มีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง
2. มีความเชื่อมั่นในพระเยซูคริสต์
3. ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า
4. มีความรู้ด้านพระคัมภีร์และเทววิทยา โดยผ่านการอบรมจากสถาบันพระคริสตธรรม หรือหลักสูตรที่ได้รับการรับรอง
5. มีประสบการณ์ในการรับใช้
6. ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการคริสตจักร และสหคริสตจักรแบ๊พติสต์แห่งประเทศไทย
เอกสารประกอบการสมัคร
การขอเอกสารบ่งบอกถึงความต้องการหลักฐานการรับรองที่เป็นมากกว่าปากเปล่าของชุมชนคริสเตียน เช่น
1. ประวัติส่วนตัว (Resume)
2. สำเนาวุฒิการศึกษา
3. จดหมายแนะนำจากศิษยาภิบาลหรือผู้นำคริสตจักร
4. คำพยานชีวิตและการทรงเรียก
5. สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คุณสมบัติของผู้นำฝ่ายวิญญาณและการรับรองก็พัฒนาเปลี่ยนแปลงตามกันไป แต่ใจความสำคัญยังอยู่ที่การทรงเรียก แบบอย่างชีวิตที่ดีในฝ่ายวิญญาณ และความสามารถที่เหมาะสมในการเป็นผู้นำ ซึ่งถือเป็นแกนสำคัญของบทบาทนี้
1 ทิโมธี 3:1 คำกล่าวนี้สัตย์จริง คือว่าถ้าใครปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร คนนั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ

ความคิดเห็น