ประวัติศาสตร์ครีเอทีฟฉบับวัฒนธรรมมนุษย์

วัฒนธรรมสำหรับเราอาจเป็นความนิยม คุ้นเคย ชินชา สงสัยว่าทำไมต้องทำแบบนี้ การต่อสู้ที่จะเป็นส่วนร่วมหรือแม้แต่การปฏิเสธขอไม่เป็นส่วนหนึ่ง หรืออาจเป็นความภูมิใจเมื่อได้ทำ หรือโกรธแค้นเมื่อถูกล้ำเส้น แต่การมีอยู่และมาถึงเราในวันนี้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมากมาย แม้เริ่มด้วยความภาคภูมิใจแต่ปัจจุบันอาจไม่ได้รับรู้ด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกัน

วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เกิดจากความสัมพันธ์ของการสั่งสม การรักษา การปฏิเสธ หรือการกู้คืน หนังสือเล่มนี้ให้หลักฐานมากมายของกระบวนการเหล่านี้ ซึ่งมีมากมายกว่าจะอธิบายได้หมดในบทความสั้น ๆ ผมยืนยันว่าเราควรได้อ่านและซึมซับความรู้สึกไปหน้าต่อหน้า จนพอจับทางได้ว่าวัฒนธรรมจริง ๆ ทำงานอย่างไร หรืออาจพูดอีกอย่าง ผู้คนแต่ละช่วงเวลามองวัฒนธรรมแตกต่างกันอย่างไร แล้วทำไมบางอย่างถึงถูกทิ้งไว้ บางอย่างก็เปลี่ยนรูปแบบไปจนไม่แน่ใจว่าแรกเริ่มได้ให้ความคิดแบบเดียวกันหรือไม่

ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้พูดถึงอะไรบ้าง...

1. การละทิ้งเทพโบราณอย่างอามุน (Amun) ของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 เพื่อแสดงสถานะที่เหนือกว่าบรรพบุรุษและยกระดับเทพเล็กอย่างอาเทน (Aten) ถึงขั้นย้ายเมืองหลวงจากธีปส์ไปยังเมืองสร้างใหม่คืออะเคตาเทน (Akhetaten) และสละพระนามเปลี่ยนเป็นอะเคนาเทน (Akenaten) นำความไม่พอใจอย่างมากให้แก่นักบวชสำนักธีปส์ จนกระทั่งฟาโรห์สวรรคต นักบวชธีปส์จึงยกฟาโรห์ตุตันคาเทน (Tutankhaten) เปลี่ยนชื่อและสถาปนาเป็นตุตันคามุน (Tutankhamun) ย้ายเมืองหลวงกลับไปยังธีปส์ เรื่องนี้ให้ข้อคิดแก่เราว่าหากต้องฝืนวัฒนธรรมเดิม จะเป็นเรื่องยากและใช้ทรัพยากรมาก แต่การเปลี่ยนแปลงสามารถจบลงหากคนรุ่นต่อไปไม่เห็นคุณค่าสานต่อ

2. ที่เดลี ในปี ค.ศ.1356 สุลต่านฟีโรซ วาห์ ตุฑลัก บังเอิญไปพบเสาศิลาสูงใหญ่กลางป่า จึงถอนเสากลับไปยังพระราชวังเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ แต่แท้จริงเสาใหญ่นี้คือเสาของพระเจ้าอโศกมหาราชย์ในสมัย 200 ก่อนคริสตกาล เป็นเสาที่แสดงตำแหน่งสำคัญของเหตุการณ์ในพุทธประวัติ แต่แล้วเมื่อฮินดูมีการปฏิรูปศาสนาผลักดันศาสนาพุทธออกไปจากอินเดียเดินทางต่อไปยังตะวันออก สุลต่านฟีโรซผู้เป็นมุสลิมได้มาพบแล้วถอนเสาออกไป วัฒนธรรมที่อาจเคยรับใช้วัตถุประสงค์ตั้งต้น และสิ่งนั้นได้หมดหน้าที่ลงแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปเป็นพันปีวัฒนธรรมเดียวกันกลับถูกถอนออกเพื่อรับใช้วัตถุประสงค์ใหม่ที่อาจดำเนินต่อไปโดยไม่หวนกลับมายังความหมายเดิมก็เป็นได้

3. โรมัน อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ เมื่อสามารถเอาชนะกรีกได้อย่างเบ็ดเสร็จ กลับพบว่าวัฒนธรรมของตนเองไม่มีอะไรที่เป็นที่จดจำเลย มีแต่เรื่องต้นกำเนิดจากพี่น้องฝาแฝดโรมูลัส (Romulus) และรีมูส (Remus) ที่ถูกเลี้ยงโดยหมาป่าในป่า ไม่สามารถเทียบได้กับความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของกรีก เป็นครั้งแรกที่ผู้ชนะกลับโอบรับวัฒนธรรมของผู้พ่ายแพ้อย่างน่าละอาย แต่ในความละอายก็มีการพัฒนาต่อยอดและกลับมาเขียนเรื่องราวต้นกำเนิดโรมูลัสและรีมูสในเวอร์ชั่นใหม่ที่ลอกเลียนแบบมหากาพย์อีเลียด (Iliad) และโอดิสซี (Odyssey) ของกรีก วัฒนธรรมไม่ได้พ่ายแพ้เพราะอำนาจเสมอไป แต่อำนาจสามารถปรับทิศวัฒนธรรมให้รับใช้อุดมการณ์ใหม่ แต่สิ่งตั้งต้นไม่ได้สูญหายไป กลับรอเวลาและโอกาสที่จะหวนคือความหมายดั้งเดิมเสมอไม่ว่าจะนานเท่าไรก็ตาม

"มีอะไรอีกมากมายที่ต้องอ่านจริง ๆ ครับ"

ทั้งหมดนี้ทำให้ผมนึกถึงรอยประทับฝ่ามือบนผนังถ้ำในแมกซิโกกว่าหมื่นปี ถ้ำถล่มหายไปจากการมองเห็นกว่า 3 ศตวรรษ และปรากฏอีกครั้งจากแผ่นดินไหว ไม่มีใครถอดความของรอยมือเหล่านั้นได้ แต่กระนั้นความหมายโดยรวมของรอยมือนั้นก็เป็นสากลที่มนุษย์ทุกคนเข้าใจได้ มันสื่อว่า "สวัสดี ฉันเคยอยู่ตรงนี่"

"Culture: The Story of Us, from Cave Art to K-pop ประวัติศาสตร์ครีเอทีฟฉบับวัฒนธรรมมนุษย์" เขียนโดย Martin Puchner แปลโดยคุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ หนังสือใหม่ ต.ค. 2568 ความหนา 496 หน้า ระดับความยาก: ยาก เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในเชิงวิเคราะห์ เล่มนี้ผมให้คะแนน 8/10

#BookReview #ประวัติศาสตร์ครีเอทีฟฉบับวัฒนธรรมมนุษย์ #รีวิวโดยกนก #กนกลีฬหเกรียงไกร #KanokLeelahakriengkrai

ความคิดเห็น