ทั้งหมดนี้แนะนำให้ทำอย่างต่อเนื่องเป็นประจำตั้งแต่ลูกเป็นเด็กเล็กจนเป็นวัยรุ่น หากใครยังไม่ได้เริ่ม อย่าผัดวันประกันพรุ่ง คุยกันแล้วตัดสินใจเริ่มเลยครับ
พ่อแม่ทำอะไรได้บ้าง?
1. อธิษฐานเผื่อลูก
ก่อนลงจากรถเมื่อไปส่งถึงโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ก่อนเข้านอน หรือเมื่อมีเรื่องที่ควรอธิษฐานเผื่อลูก ก็ให้อธิษฐานด้วยกันเสมอ บางทีอาจเป็นเรื่องเพื่อน การเรียน หรือแม้แต่ความยากลำบากในการปรับ เป็นต้น
2. เฝ้าเดี่ยวร่วมกัน
ตกลงตารางเวลาร่วมกันเป็นประจำ รักษาเวลา ใช้เวลาพอเหมาะพอควรไม่ให้ยืดยาวเกินไป นมัสการ แบ่งปันพระคัมภีร์อย่างมีชีวิตชีวา สนุกสนานเฮฮา ลึกซึ้งกินใจ แล้วแต่บริบทพระคัมภีร์
3. นั่งรับประทานอาหารด้วยกันในครอบครัว
ตั้งกติกาไม่ดูมือถือ หรือลดการดูมือถือ คุยกันทุกเรื่องได้ เริ่มในเรื่องที่ลูกสนใจก่อนเพื่อเปิดใจให้ฟังเรื่องของเรา จนเกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน
4. เข้าร่วมกิจกรรมในคริสตจักร
ให้ลูกมีส่วนในการรับใช้ในกลุ่มของเขาเอง พ่อแม่คอยสนับสนุนห่างๆ ก็พอ ลูกอาจจะเอาเรื่องในกลุ่มมาคุยหรือบ่นให้ฟัง เป็นโอกาสที่ดีที่จะแนะนำและสอนในสิ่งที่ควรทำ
5. ใช้เวลาร่วมกับสิ่งที่ลูกชอบ
ลองเปิดใจกับสิ่งที่ลูกชอบ อาจเป็นดาราศิลปิน เพลง ของเล่นบางชิ้น เกมส์ลองให้เวลาอย่างมีคุณภาพสักช่วง ใช้โอกาสให้แง่คิดและสอนบางอย่าง
6. มีส่วนร่วมในกิจกรรมโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
ช่วยให้ลูกรู้สึกว่าเราสนใจในชีวิตเขา พ่อแม่อาจมาช่วยงาน เข้าร่วมในบทบาทบางอย่าง หรือร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยจัดขึ้น การเข้ามามีส่วนในกิจกรรมจะทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจที่พ่อแม่สนใจในโลกของเขา
พระคัมภีร์สอนเรื่องนี้อย่างไร?
1. เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องดูแลปกครองลูก
1 ทิโมธี 3:4–5 ปกครองครอบครัวของตนได้ดี อบรมบุตร ธิดา ให้มีความนอบน้อมด้วยความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าชายคนไหนไม่รู้จักปกครองครอบครัวของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?
“ปกครอง” (προΐστημι — proistemi) หมายถึง การวางระเบียบ รักษาระเบียบ และตักเตือนเมื่อไม่อยู่ในระเบียบ เป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ รู้จักยืดหยุ่นแต่ไม่ประนีประนอม
พ่อแม่จึงทำหน้าที่นี้ ที่ออกแบบระเบียบในครอบครัวและทำให้เกิดขึ้นจริงอย่างสม่ำเสมอ ให้คำชมเชยเมื่อลูกอยู่ในข้อตกลง เตือนสติหากลูกทำไม่ถูก แน่นอนข้อตกลงหรือการควบคุมต้องใช้ความรักและรู้จักยืดหยุ่น ไม่เคร่งครัดมากจนเกินไป แต่ลูกจะรู้แน่นอนว่าอะไรควรไม่ควรหากเรามีความสม่ำเสมอ
2. สุภาพ สนุกสนานเป็นกันเอง ไม่เคร่งเครียดหรือยั่วยุ
เอเฟซัส 6:4 ...อย่ายั่วบุตรของท่านให้เกิดโทสะ แต่จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พระคัมภีร์สอนให้พ่อแม่นำลูกด้วยความเข้าใจ สั่งสอน เตือนสติ ไม่ยั่วยุ ให้ใช้ความสุภาพ รอยยิ้ม เป้าหมายคือเพื่อให้เกิดการยอมรับในหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มัทธิว 5:38-39 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ตาแทนตา และฟันแทนฟัน ’ ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย
พระเยซูหนุนใจเราให้เข้าใจถึงหัวใจของธรรมบัญญัติที่ต้องมีแก่นสำคัญคือความรักและการให้อภัย ไม่ตอบโต้ตรงไปตรงมา ลูกของเราอาจจะทำถูกทำผิกหรือไม่ถูกใจเราในบางครั้ง เราไม่จำเป็นต้องตอบโต้อย่างรุนแรงเสมอไป แต่จำเป็นต้องทำให้รู้ว่าไม่ถูกต้อง
3. สื่อสารอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
พระเยซูทรงสื่อสารกับพระบิดาอย่างสม่ำเสมอด้วยการอธิษฐาน (ลูกา 5:16) เรามักเน้นให้อธิษฐาน แต่แท้จริงการอธิษฐานเป็นเรื่องของการสื่อสารสองทาง เช่นเดียวกันการพูดคุยกับลูกก็สำคัญแต่หัวใจคือการสื่อสารคือมีการเข้าใจกันทั้งสองทาง ให้เราทำสิ่งนี้อย่างสม่ำเสมอทีละเล็กทีละน้อย
พระเยซูนอกจากสื่อสารกับพระบิดาแล้ว พระองค์ยังสื่อสารกับสาวกของพระองค์ในประเด็นที่สำคัญที่สุดคือทรงตั้งคำถามที่สำคัญว่าพระองค์เป็นใคร? (ลูกา 9:18) ซึ่งคำสารภาพของสาวกนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือพระคริสต์ ในหลายโอกาสให้เราสื่อสารกับลูกในเรื่องที่มีความลึกซึ้งได้เช่นกัน
ความรักของพ่อแม่และลูกจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการ Connect กันซึ่ง Move ควรเริ่มต้นที่คุณพ่อคุณแม่ก่อน เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติในครอบครัว เพราะเมื่อทุกคนรักกันและกัน จะเกิดการพัฒนาในประสบการณ์ความเข้มแข็งในความเชื่ออย่างเป็นธรรมชาติ เป็นครอบครัวที่รักพระเจ้า รับใช้ และเป็นแบบอย่างแก่พี่น้องคริสตจักรตลอดจนสังคมไทยของเรา
ความคิดเห็น