เขียนโดย ดร.กนก ลีฬหเกรียงไกร และชมรมนักคิดคริสเตียนไทย
ในปัจจุบันนี้ สถาบันพระคัมภีร์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่ใช้คำย่อว่า AI (Artificial Intelligence) กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ แม้การใช้ AI จะมีส่วนดีมีอยู่มากมาย เช่น สามารถได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หรือหากผู้ใช้มีการป้อนชุดคำถามหรือข้อความที่เป็นคำสั่ง ซึ่งเรียกกันว่า Prompt ที่มีความแม่นยำเข้าไป ก็จะได้ข้อความตอบกลับในรูปแบบที่เป็นระบบระเบียบน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถกำหนดสไตล์ จำนวนคำ การอ้างอิง หรือเลือกภาษาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้ AI สำหรับงานเขียนเชิงศาสนศาสตร์ แม้จะมีข้อดีตามที่กล่าวไป แต่ก็อาจจะมีข้อจำกัดที่ซับซ้อน เพราะหลายครั้งงานเขียนในลักษณะนี้ต้องเกี่ยวข้องกับความเห็นที่แตกต่างในระบบนิกายหรือทัศนะที่มีความหลากหลายเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งนั่นอาจทำให้นักศึกษาที่ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ มีความไขว้เขวและหลงทางไปจากความเชื่ออันถูกต้องได้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น สถาบันพระคัมภีร์ต่างๆ จึงได้เริ่มมีการกำหนดนโยบายเพื่อรับมือกับการใช้ AI โดยมีการประกาศนโยบายดังกล่าวให้นักศึกษาได้รับทราบอย่างทั่วถึงเพื่อเป็นข้อตกลงในแนวทางเดียวกัน
เหตุใดงานเขียนเชิงศาสนศาสตร์ที่ถูกสร้างโดย AI จึงเป็นงานเขียนที่ต้องระมัดระวัง
หลักของ AI คือการรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่เดิมจากแหล่งต่างๆ แล้วนำมาจัดเรียงขึ้นใหม่ตามคำสั่งหรือ Prompt ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Generative AI ซึ่งหมายถึง AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ได้ จึงสามารถนำมาใช้ในการช่วยเขียน (เช่น ChatGPT หรือ Claude) ผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ประเภทนี้ จะถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเรียนรู้ของ AI ซึ่งเกิดจากการมีข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งต่าง ๆ ผ่านทาง Prompt ที่ป้อนเข้าไป รวมทั้งผ่านทางการออกแบบโปรแกรมที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งในส่วนของการออกแบบโปรแกรมนี้ที่จะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ จะกลายมาเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายจะต้องจับตามองและนำมาพิจารณากันต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ณ เวลานี้ งานเขียนเชิงศาสนศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI ยังเป็นงานเขียนที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากยังมีประเด็นต่างๆที่เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังต่อไปนี้
1. การอธิบายทัศนะพระคัมภีร์ที่คลาดเคลื่อน
AI สร้างข้อความทางศาสนศาสตร์จากการรวบรวมข้อมูลเท่าที่มีซึ่งนำมาจากทัศนะในหลายนิกายหลายกลุ่มซึ่งรวมถึงกลุ่มสอนบิดเบือนพระคัมภีร์ตามที่ได้ใส่ไว้ในที่ต่าง ๆ เช่น ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งนั่นทำให้ผลการค้นคว้าที่เกิดจากการรวมรวมของ AI อาจนำเสนอความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และหลากหลาย ทั้งนี้ AI ให้คำตอบจากทุกทัศนะเท่าที่รวบรวมได้ โดยบางครั้งอาจจะมีการระบุว่าเป็นทัศนะแนวไหน ดังนั้น การตัดสินว่าจะเลือกทัศนะใดในงานเขียน ควรจะเกิดจากผู้ใช้ที่จำเป็นต้องมีความรู้พระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งจนสามารถแยกแยะทัศนะต่างๆออกมาได้
2. สูญเสียโอกาสในการพัฒนาประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณ
การศึกษาพระคัมภีร์ไม่ใช่แค่การท่องจำข้อมูล แต่เป็นกระบวนการทางจิตวิญญาณที่ต้องอาศัยการไตร่ตรองใคร่ครวญ อธิษฐาน และตีความ ด้วยเหตุนี้ หากนักศึกษาใช้ AI ในการเขียนงาน แทนที่จะเขียนด้วยตนเอง นักศึกษาก็อาจจะสูญเสียโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าและขาดความเข้าใจเชิงลึกในหลักคำสอนผ่านการเปิดเผยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้
3. ขาดมุมมองผ่านประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า
งานเขียนที่ดีควรสะท้อนถึงความจริงในพระวจนะ ประสบการณ์ชีวิต และความเชื่อของผู้เขียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นอาจทำให้งานเขียนที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ AI ขาดความลึกซึ้งและขาดมิติของความเป็นมนุษย์
4. ขาดการคิดเชิงลึกจนตกผลึกเป็นผลลัพธ์ที่พิเศษ
ในกระบวนการวิจัย มีทักษะหนึ่งที่ผู้วิจัยต้องนำมาใช้เป็นอย่างมาก นั่นคือ “การคิดเชิงลึก” ซึ่งหมายถึง การพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างถี่ถ้วน ครอบคลุม และรอบด้าน ไม่ใช่แค่การมองผ่าน ๆ หรือคิดในระดับผิวเผิน แต่เป็นการวิเคราะห์หาสาเหตุ ผลกระทบ และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจเรื่องที่กำลังศึกษานั้นอย่างแท้จริง ดังนั้น ถ้าผู้วิจัยใช้ AI ในกระบวนการต่างๆมากเกินไป ก็จะเป็นการปิดกั้นการใช้ทักษะดังกล่าว ซึ่งนั่นทำให้งานวิจัยที่ออกมาขาดความลึกซึ้งเท่าที่ควร หรือแม้จะมีการนำเสนอข้อมูลที่ลึกซึ้งเพียงพอโดยใช้ AI สร้างขึ้น แต่นั่นก็เท่ากับว่า งานวิจัยชิ้นนั้นถูกทำขึ้นมาโดยผู้ที่มีความคิดในระดับที่ตื้นเขินกว่าผลงานที่ตนนำเสนอ
ทั้งนี้ แน่นอนว่า การปฏิเสธเทคโนโลยีอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุด แต่การหาจุดสมดุลของเครื่องมือ ที่เรียกกันว่า AI กับการนำเสนอทัศนะที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ผ่านความจริง ประสบการณ์ และการเปิดเผยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญ
นโยบายการรับมือกับการใช้ AI ในงานเขียนเชิงวิชาการในสถาบันพระคัมภีร์
1. กำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ AI
1.1 ระบุขอบเขตการใช้ AI
ซึ่งอาจจะมีการระบุขอบเขตอย่างน้อยสองรูปแบบ ดังนี้
ก. ไม่อนุญาตให้ใช้ AI ในทุกกรณี
ขอบเขตในลักษณะนี้ เป็นไปได้ค่อนข้างยากทั้งฝั่งผู้เรียนและอาจารย์เพราะนอกจากการตรวจสอบจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแล้ว การไม่อนุญาตให้ใช้ AI จะทำให้เกิดคำถามต่อการใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ ตามมาด้วย เช่น การใช้อินเตอร์เน็ต การใช้ระบบการประชุมทางไกล การใช้ E-book เป็นต้น
ข. อนุญาตอย่างมีขอบเขต
ถ้าเลือกที่จะกำหนดขอบเขตแบบนี้ ก็ควรจะมีการระบุในแต่ละประเด็นอย่างชัดเจน เช่น อนุญาตให้ใช้ AI ได้ เพื่อสนับสนุนในการค้นคว้าวิจัยเท่านั้น อาทิ การเรียนรู้ในการจัดการโครงสร้างงานเขียน (การเขียนคำนำ ส่วนเนื้อหา และบทสรุป) การปรับรูปประโยคให้น่าอ่านหรือถูกหลักวิชามากขึ้น การหาแหล่งอ้างอิง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังควรระบุสิ่งที่ไม่อนุญาตให้ใช้ AI เช่น การทำรายงานสรุปการอ่านหนังสือทั้งเล่ม เพราะทั้งนี้ แน่นอนว่า ถึงแม้ AI จะเขียนงานขึ้นมาให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่นักศึกษาก็จะขาดโอกาสในการเรียนรู้ภาพรวมจากการอ่านหนังสือ จากการทำความเข้าใจโครงสร้างความคิดของผู้เขียน ตลอดจนจากการฝึกฝนทักษะการจับประเด็นและสรุป ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า การคัดลอกผลลัพธ์หรืองานวิจัยที่ได้จาก AI มาส่งตรง ๆ แบบนี้ จะไม่เกิดประโยชน์ในการฝึกฝนให้นักศึกษามีความรู้อย่างลึกซึ้ง เพราะการทำงานวิจัยนั้นเป็นการพัฒนาความคิดอย่างเป็นระบบจากกระบวนการการตั้งคำถาม การอ่าน การกลั่นกรอง การออกแบบวิธีวิจัย การศึกษาผลการวิจัย และการให้ข้อเสนอแนะ เป็นต้น
1.2 จัดทำคู่มือ “AI Ethics for Theological Writing” (จริยธรรมในการใช้ AI สำหรับงานเขียนเชิงศาสนศาสตร์) เพื่อให้ทุกคนเข้าใจระเบียบและขอบเขตการใช้ AI
การกำหนดขอบเขตอย่างชัดเจนจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความระมัดระวัง อีกทั้งยังเป็นการทดสอบความซื่อสัตย์ของผู้เรียนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม คู่มือดังกล่าว ต้องได้รับการปรับปรุงอยู่เป็นระยะๆตามการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี AI ด้วยเหตุนี้ สถาบันพระคัมภีร์ควรมีคณะกรรมการกำหนดนโยบาย AI เพื่อติดตามเทคโนโลยี AI และปรับนโยบายให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที โดยอาจจะมีการนำวาระเข้าประชุมไตรมาสละครั้งเป็นต้น
ทั้งนี้ ในคู่มือ อาจมีการระบุข้อความในลักษณะของการอนุญาตให้ใช้ AI เพื่อช่วยค้นคว้า สรุป หรือตรวจไวยากรณ์ แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ AI เพื่อสร้างงานวิจัยขึ้นมาทั้งชิ้น หรืออาจจะมีการกำหนดให้ผู้วิจัย “เปิดเผย” (disclosure) ว่า มีการใช้ AI ในขั้นตอนใดบ้าง
ตัวอย่าง "คำเปิดเผยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI Disclosure Statement)"
“บทความฉบับนี้มีการใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์เพื่อสนับสนุนในบางขั้นตอนของการผลิตเนื้อหา เช่น การวิเคราะห์เชิงภาษา การสังเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น และการจัดโครงสร้างข้อความบางส่วน โดยผู้เขียนได้ตรวจสอบ แก้ไข และรับผิดชอบต่อเนื้อหาทั้งหมดอย่างรอบคอบ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักวิชาการและจริยธรรมทางศาสนศาสตร์
ทั้งนี้ การใช้ AI ของผู้เขียน มิได้มีเจตนาเพื่อใช้ในการตีความพระคัมภีร์ หรือแทนที่การพินิจพิเคราะห์เชิงศาสนศาสตร์ของผู้เชื่อ หากแต่เป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการสื่อสารในบริบทวิชาการเท่านั้น
ผู้เขียนขอยืนยันว่าเนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่ได้รับการยอมรับ และผ่านการกลั่นกรองโดยใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด”
2. ส่งเสริมการใช้ AI ให้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
อาจารย์สามารถแนะนำนักศึกษาให้ใช้ AI เป็นเครื่องมือค้นคว้าหาข้อพระคัมภีร์ ข้อมูลประวัติศาสตร์ หรือแนวทัศนะทางศาสนศาสตร์ รวมทั้ง อาจแนะนำให้นักศึกษาใช้ AI เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการอ้างอิง หรือ ช่วยสร้างบรรณานุกรม (bibliographies) นอกจากนี้ ยังอาจแนะนำให้ใช้ AI เป็นตัวช่วยโต้แย้ง (argument simulation) โดยให้ AI เล่นบทบาทนักคิดฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้งานเขียนของนักศึกษามีมุมมองที่รอบด้านมากขึ้น
3. เน้นการตรวจสอบคุณภาพงานวิชาการโดยมนุษย์ (Human Oversight)
ในเบื้องต้น กรรมการวิชาการและอาจารย์ที่ปรึกษาควรใช้ AI Detector (เครื่องมือตรวจสอบการใช้ AI) ควบคู่กับการอ่านงานวิจัยชิ้นนั้นแบบวิเคราะห์
ปัจจุบัน AI Detector ที่เป็นที่นิยมได้แก่
GPTZero - ใช้ตรวจจับเนื้อหาจาก ChatGPT, Claude, Gemini, LLaMa โดยสามารถวิเคราะห์ระดับคำศัพท์และโครงสร้างที่มาจาก AI ได้
Scribbr AI Detector - สามารถตรวจสอบเนื้อหาที่เขียนโดย AI เนื้อหามีการปรับโดย AI หรือมนุษย์ โดยโปรแกรมนี้รองรับการใช้งานได้หลายภาษา
QuillBot AI Detector - ใช้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ว่าเนื้อหาของบทความเป็นการเขียนโดย AI หรือมนุษย์
เครื่องมือเหล่านี้ใช้หลักการวิเคราะห์รูปแบบภาษา เช่น ความซ้ำซ้อน ความคาดเดาได้ และโครงสร้างประโยค อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่า ณ เวลานี้ ยังไม่มีเครื่องมือใดที่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าเนื้อหาของงานวิจัยเป็นการสร้างขึ้นมาโดย AI หรือเป็นการเขียนของมนุษย์ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้วิจัย ผลลัพธ์ของการตรวจสอบดังกล่าว ควรใช้เพื่อประกอบการพิจารณาเท่านั้น
รูปแบบของกิจกรรมและการประเมินที่ว่านี้ อาจจะออกมาในลักษณะของ การตีความพระคัมภีร์ (Hermeneutics) ที่ต้องใช้ทั้งความรู้ทางภาษาต้นฉบับ (ฮีบรู - กรีก) ผสมผสานกับความเข้าใจในฝ่ายจิตวิญญาณผ่านทางการทรงนำของพระเจ้า และผ่านทางประสบการณ์ชีวิต ตลอดจนผ่านทางงานรับใช้ของผู้เขียน หรืออาจจะเป็นในลักษณะของการกำหนดให้เขียนเรื่องที่มีการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและบริบทท้องถิ่นเชิงลึก (ทั้งนี้เนื่องจากว่า AI อาจไม่เข้าใจความรู้สึกเชิงวัฒนธรรมได้ดีเท่ามนุษย์ การกำหนดหัวเรื่องเช่นนี้จึงเป็นการบังคับแบบกลายๆให้ผู้เขียนได้มีการเขียนงานเขียนชิ้นนั้นด้วยตนเอง) หรืออาจจะมีการตรวจสอบกระบวนการคิดของผู้เขียนด้วยการสัมภาษณ์ในบางประเด็น หรือกำหนดให้มีเทน้ำหนักของการให้คะแนนไปที่กิจกรรมในภาคปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมอภิปรายในชั้นเรียน การรับใช้ในภาคสนาม เช่น การออกไปสอน การออกไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วย เป็นต้น
สรุป
เราต้องยอมรับว่ายุคนี้ AI ก่อให้เกิดคุณค่ามากมายเพราะช่วยทำให้องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เคยอยู่อย่างกระจัดกระจาย กลายเป็นข้อสรุปที่มีการชี้นำอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งในอนาคตมนุษย์อาจเชื่อถือผลลัพธ์จาก AI มากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นความเคยชิน
อย่างไรก็ตาม ในการเขียนบทความทางศาสนศาสตร์หรือการทำงานวิจัยในเชิงศาสนศาสตร์ทุกระดับ การที่ผู้วิจัยมีการคิดวิเคราะห์จนได้ผลลัพธ์ออกมา ถือเป็นเรื่องที่จะทำให้ทั้งผู้วิจัยและผู้อ่านเกิดความเข้าใจและมีแนวทางปฏิบัติที่ดีในฝ่ายจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ หากกระบวนการคิดวิเคราะห์ดังกล่าวถูกแทนที่ด้วย AI ก็มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลอกมาทั้งในด้านบวกและด้านลบ กล่าวคือ ถ้ามองแบบโลกสวย (Utopia) กระบวนการคิดวิเคราะห์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจถูกยกระดับออกมาเป็นรูปแบบผสมผสานซึ่งนั่นก็จะทำให้เกิดการบูรณาการอย่างที่โลกเราไม่เคยเห็นเลย หรือหากมองแบบโลกไม่สวย (Dystopia) ก็จะมีเพียงมนุษย์ส่วนน้อยที่สามารถคิดเชิงปัญญาซับซ้อน (Cognitive Thinking) เช่นนี้ได้ และมนุษย์กลุ่มนี้ ก็จะประดิษฐ์ AI ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนควบคุมมนุษย์ส่วนใหญ่ได้อีกที
ดังนั้น สถาบันพระคัมภีร์จึงควรกำหนดแนวทางการใช้ AI อย่างชัดเจน โดยส่งเสริมให้ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยในการค้นคว้าข้อมูลพื้นฐาน การตรวจสอบไวยากรณ์ และการจัดระเบียบเนื้อหา แต่ต้องเน้นย้ำให้ผู้วิจัยใช้ปัญญาของตนเองในการวิเคราะห์ ตีความ และสรุปผลงาน รวมทั้งต้องมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลและระบุการใช้ AI อย่างโปร่งใส เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและมาตรฐานทางวิชาการของสถาบัน พร้อมทั้งควรจัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับข้อจำกัดและความเสี่ยงของการใช้ AI ในงานเขียนเชิงศาสนศาสตร์อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
เกี่ยวกับผู้เขียน
ดร.กนก ลีฬหเกรียงไกร (DMin, AGST Alliance-BBS) ศิษยาภิบาล คริสตจักรกิจการของพระคริสต์ ธนบุรี สมาชิกชมรมนักคิดคริสเตียนไทย นักเขียน และวิทยากรในสื่อคริสเตียนไทย
ชมรมนักคิดคริสเตียนไทย (Thai Christian Thinkers) กลุ่มผู้นำคริสเตียนจากคณะต่าง ๆ ซึ่งรวมตัวกันเพื่อคิดหาแนวทางปฏิบัติในการวางตัวของคริสเตียนให้เหมาะสมกับประเพณีวัฒนธรรม และโลกทัศน์ไทยที่สอดคล้องกับหลักการคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์

ความคิดเห็น