ภาวะหลังภัยพิบัติ (Post-Disaster Phase) กระทบอะไรและคริสเตียนควรทำอะไร

ภาวะหลังภัยพิบัติ เป็นช่วงเวลาหลังจากที่เกิดภัยพิบัติ ซึ่งอาจกินระยะเวลาตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเหตุการณ์และขีดความสามารถในการฟื้นตัวของแต่ละคน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจมาก ๆ เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือภัยพิบัติมากมาย

น้ำท่วมหาดใหญ่ พฤศจิกายน 2026 ภาพจากไทยรัฐ

ภาวะนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก

1. ด้านสังคมและจิตใจ

ผู้ประสบภัยอาจเผชิญกับความเครียด ความเศร้าโศก หรือภาวะซึมเศร้า มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต เช่น PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) เมื่อผู้ประสบภัยต้องกลับมายังบ้านที่ถูกทำลายเพราะภัยธรรมชาติ ความรู้สึกที่เคยใช้ชีวิตอยู่ ความผูกพันมากมายในพื้นที่ทุกจุดของบ้าน อาจทำให้รู้สึกสะเทือนใจได้เลย

2. ด้านเศรษฐกิจ

ความเสียหายต่อทรัพย์สิน บ้านเรือน ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอาจปรับตัวสูงขึ้น การเยียวยาจากภาครัฐหรือเอกชนจากการเคลมประกันอาจมาช้ามาก

3. ด้านสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐาน

ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา และถนน ถูกทำลายหรือใช้งานไม่ได้ การฟื้นฟูอาจใช้เวลานานและต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ยิ่งเวลาผ่านไปต้องระวังเรื่องโรคระบาด

4. ด้านสุขภาพและการช่วยเหลือทางการแพทย์

โรคระบาดอาจเกิดขึ้นจากน้ำเสีย อาหารปนเปื้อน หรือแหล่งอาศัยชั่วคราวที่แออัด การขาดแคลนยา เวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องรับภาระหนักในการดูแลและให้ความช่วยเหลือนี้

ตึก สตง ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว กรุงเทพฯ 28 มีนาคม 2025 เครดิตภาพ ABC News

การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

การรับมือกับภาวะหลังภัยพิบัติต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ได้แก่

1. ภาครัฐ

วางแผนดำเนินการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้กลับมาอย่างรวดเร็ว และเร่งเยียวยาเบื้องต้นให้ครบถ้วน

นอกจากนั้นยังต้องวางแผนป้องกันเหตุเฉพาะหน้าโดยเข้มงวดกับระเบียบต่าง ๆ ในสังคม ความปลอดภัยในร่างกายและทรัพย์สิน และวางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันวิกฤติซ้ำโดยเฉพาะวิกฤติที่คาดเดาได้ทุกปีจากภัยธรรมชาติ เร่งให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลตัวเองจากวิกฤติ จัดตั้งหน่วยงานที่เป็นประโยชน์ไว้เพื่อช่วยเหลือชุมชนในยามฉุกเฉิน มีแผนเร่งเครื่องการเศรษฐกิจอย่างชัดเจน

2. คริสตจักรและพี่น้องคริสเตียน

ช่วยเหลือเปิดอาคารให้เป็นแหล่งพักพิงแก่ผู้ประสบภัยทุกอย่างเชื่อโดยไม่ทำให้ผู้ประสบภัยต้องลำบากใจกับความเชื่อที่แตกต่าง แต่เน้นให้การช่วยเหลือด้วยความจริงใจ ความประทับใจจะน้ำใจดีจะให้เขาสรรเสริญพระเจ้าไปด้วย

กาลาเทีย 6:2 จง​ช่วย​รับ​ภาระ​ของ​กัน​และ​กัน และ​ด้วย​การ​กระ​ทำ​เช่น​นี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ก็​ได้​ปฏิ​บัติ​ตาม​ธรรม​บัญ​ญัติ​ของ​พระ​คริสต์

โรม 12:13 จง​เห็น​อก​เห็น​ใจ​ช่วย​ธรร​มิก​ชน​เมื่อ​เขา​ขัด​สน จง​อุต​ส่าห์​ต้อน​รับ​แขก​แปลก​หน้า

การดูแลของคริสตจักรหลังภัยพิบัติควรเน้นเรื่องฝ่ายวิญญาณเป็นสำคัญเพราะพระเจ้าจะเป็นผู้ช่วยเยียวยาจิตใจและจิตวิญญาณของผู้คนได้อย่างแท้จริง อาจจะเป็นการประกาศข่าวประเสริฐด้วยความรักห่วงใย การให้คำปรึกษา การอธิษฐานเผื่อเป็นกำลังใจให้ เป็นต้น

3. ประชาชนทั่วไป

มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและปรับตัวเพื่อฟื้นฟูชุมชน รักษาระเบียบ โอบอ้อมอารีย์เสมอ ทั้งหมดเป็นเรื่องของการเตรียมตัว ปลูกฝังทัศนคติที่ดี และการบังคับควบคุมด้วยกฎหมาย ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันในเรื่องยนี้เพื่อความเป็นระเบียบของชุมชนโดยรวม

การซ้ำเติมประชาชนในภาวะวิกฤต ในทางกฎหมายจะมีโทษหนักกว่าปกติ เช่น การกักตุนสินค้า ขึ้นราคาสินค้าเกินสมควร หรือการลักทรัพย์ผู้ประสบภัย เป็นการกระทำผิดที่มีโทษทางอาญาและทางเศรษฐกิจ (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 เป็นต้น)

การฟื้นตัวจากภัยพิบัติอาจใช้เวลานาน แต่หากมีการเตรียมพร้อมและการช่วยเหลือที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้ชุมชนกลับมาเข้มแข็งได้เร็วขึ้นได้

ความคิดเห็น