คริสเตียนโปรเตสแตนต์สายเพ็นเทคอสต์ ทัศนะที่หลากหลายในศตวรรษที่ 21

หลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว พระองค์ทรงสั่งสอนสาวกอยู่อีก 40 วัน จากนั้นทรงประทานพระมหาบัญชา และได้กำชับให้สาวกรออยู่ก่อนเพื่อรับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์จะทรงประทานหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไปแล้ว (กิจการฯ 1:3-4)

กิจการของอัครทูต 1:4 เมื่อ​พระ​องค์​ได้​ทรง​พำนัก​อยู่​กับ​อัครทูต จึง​กำชับ​เขา​มิ​ให้​ออกไป​จาก​กรุง​เยรูซาเล็ม แต่​ให้​คอย​รับ​ตาม​พระ​สัญญา​ของ​พระ​บิดา คือ​พระ​องค์​ตรัส​ว่า “ตาม​ที่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ได้​ยิน​จาก​เรา​นั่น​แหละ​

ในวันเพ็นเทคอสต์นี้เอง ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณฯ ได้เทลงมายังสาวกที่รอคอยอยู่ในเวลานั้น ต่างคนต่างพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณโปรดให้พูด (กิจการฯ 2:1-4) เป็นภาษาที่ชาวยิวและชาวต่างชาติผู้เข้ารีตยิวจากหลายประเทศแปลกใจว่าทำไมชาวกาลิลีถึงสามารถกล่าวคำสรรเสริญพระเจ้าในภาษาของเขาได้ จริงๆ เราพบว่าพระวิญญาณฯ เป็นผู้จุดไฟแห่งงานพันธกิจสนับสนุนพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ เพราะภาษาอื่นๆ ที่สาวกพูด เป็นภาษาของพวกยิวที่กระจายไปทั้งโลก ณ เวลานั้น

"สาระสำคัญของวันเพ็นเทคอสต์สำหรับสาวกของพระเยซูคริสต์และเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนคือการได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญา"


อย่างไรก็ดีปรากฏการณ์วันนั้นนำมาซึ่งคำอธิบายที่หลากหลายโดยเฉพาะเรื่องการบัพติศมาพระวิญญาณและการพูดภาษาแปลกๆ ซึ่งเคยเป็นข้อถกเถียง (เรียกว่าข้อร่วมพิจารณาอาจจะนุ่มนวลกว่า) ในอดีตตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 แม้ในปัจจุบันศตวรรษที่ 21 แล้วก็ยังมีรายละเอียดหลายอย่างที่สามารถร่วมพิจารณาได้อีก ตัวอย่างเช่น

1. คริสเตียนโปรเตสแตนต์กลุ่มเพ็นเทคอสต์และคาริสเมติกส์ (Pentecostalism and Charismatic Movement)

เชื่อว่าภาษาอื่นๆ คือภาษาแปลกๆ เป็นหมายสำคัญของการรับพระวิญญาณฯ คือเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคริสเตียนที่มีพระวิญญาณแล้วจะสามารถพูดภาษาแปลกๆ ได้ คือถ้าพูดไม่ได้ก็ยังไม่มีพระวิญญาณ เรื่องนี้อันตรายและสร้างความแตกแยกในพระกายมาแล้วในอดีต เพราะเครื่องบ่งชี้ของการมีพระวิญญาณคือความรอดและชีวิตที่เปลี่ยนแปลงสะท้อนพระลักษณะพระเจ้าต่างหาก ไม่ใช่พูดภาษาแปลกๆ ได้ หรือแม้ว่าพูดได้ก็เป็นเหมือนพระคุณที่พระเจ้าประทาน ไม่สามารถอวดอ้างหรือข่มว่าตัวสูงกว่าคริสเตียนทั่วไปได้

1 โครินธ์ 13:1 แม้​ข้าพ​เจ้า​จะ​พูด​ภา​ษา​แปลกๆ ที่​เป็น​ภา​ษา​มนุษย์​หรือ​ทูต​สวรรค์​ได้ แต่​ไม่​มี​ความ​รัก ข้าพ​เจ้า​เป็น​เหมือน​ฆ้อง​หรือ​ฉาบ​ที่​กำ​ลัง​ส่ง​เสียง

เอเฟซัส 4:3-5 จง​พยา​ยาม​รักษา​ความ​เป็น​น้ำ​หนึ่ง​ใจ​เดียว​กัน​ที่​มา​จาก​พระ​วิญ​ญาณ​นั้น โดย​มี​สันติ​ภาพ​เป็น​เครื่อง​ผูก​พัน มี​กาย​เดียว​และ​มี​พระ​วิญ​ญาณ​องค์​เดียว เหมือน​อย่าง​ที่​ท่าน​ได้​รับ​การ​ทรง​เรียก​ให้​มา​ถึง​ความ​หวัง​เดียว​ใน​การ​ทรง​เรียก​พวก​ท่าน​นั้น มี​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​องค์​เดียว ความ​เชื่อ​เดียว บัพ​ติศ​มา​เดียว

2. คริสเตียนโปรเตสแตนต์กลุ่มฝนยุคหลัง (Latter Rain Movement)

เป็นกลุ่มโปรเตสแตนต์ที่เคลื่อนไหวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเชื่อว่าการลงมาของพระวิญญาณฯ ในพระธรรมกิจการฯ 2 เป็นความสำเร็จตามคำพยากรณ์ของโยเอลครึ่งเดียวคือ "ฝนต้นฤดู" ยังคงต้องรอฝนยุคหลังซึ่งเป็น "ฝนชุกปลายฤดู" โดยโยงเข้ากับฤทธิ์เดชผ่านการเทลงมาของพระวิญญาณฯ อีกรอบใหญ่ในช่วงใกล้วันเสด็จกลับมาของพระเยซูอีก

2.1 ทำไมไม่ควรเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมา 2 รอบ

1. พระวิญญาณฯ ลงมาแล้วตามพระสัญญาเมื่อพระเยซูทรงประสบเกียรติกิจ

2. พระวิญญาณฯ เป็นบุคคล ลงมาแล้วคือลงมา ไม่ลงมาครึ่งๆ กลางๆ

3. พระวิญญาณฯ ลงมาในปลายยุคตามคำพยากรณ์ ซึ่งปลายยุคเริ่มต้นเมื่อพระบุตรทรงปรากฏหรือเสด็จขึ้น (บางความเห็นเริ่มต้นในวันกำเนิดคริสตจักรในกิจการฯ บทที่ 2) จนถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า คือวันที่พระบุตรจะปรากฏอีกครั้ง

2.2 ทำไมไม่ควรอธิบายฝนในโยเอลโดยเน้นเป็นฝน 2 รอบ

1. ภาพใหญ่ของพระธรรมโยเอลคือการพิพากษาและการรื้อฟื้น

โยเอลเผยพระวจนะพยากรณ์ถึงการพิพากษาของพระเจ้าจากความตกต่ำในชีวิตฝ่ายวิญญาณของยูดาห์ โยเอลทำนายถึงกองทัพที่พระเจ้าจะใช้มาเพื่อพิพากษาคนยิวคือกองทัพของชาวเคลเดีย บาบิโลน ซึ่งมีพลานุภาพมากจนไม่สามารถต่อต้านได้

โยเอล 2:9 พวก​มัน​กระ​โดด​เข้า​ไป​ใน​เมือง มัน​วิ่ง​อยู่​บน​กำ​แพง พวก​มัน​ปีน​เข้า​ไป​ใน​บ้าน มัน​เข้า​ไป​ทาง​หน้า​ต่าง​เยี่ยง​โจร

2. ฝนตกต้องตามฤดูกาลเป็นภาพของการรื้อฟื้นหลังการถูกทำลาย

โยเอลกล่าวถึงการรื้อฟื้นสู่สภาพปกติ คือมีฝนตกตามฤดูกาลตามภูมิศาสตร์ของอิสราเอล ซึ่งมีฝนต้นและฝนปลายฤดู ไม่มีเครื่องบ่งชี้ถึงการตีความแยกเป็น 2 ส่วน แต่กลับมีตัวชี้ว่าเป็นส่วนเดียวกันคือ ฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู เป็นฝนตกปกติ "อย่างแต่ก่อน" คือก่อนที่อิสราเอลจะละทิ้งชีวิตในทางพระเจ้า

โยเอล‬ ‭2‬:‭23 “โอ บุตรทั้งหลายของศิโยนเอ๋ย จงยินดีเถิด จงเปรมปรีดิ์ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า เพราะว่าพระองค์ประทานฝนต้นฤดูแก่เจ้าเพื่อแสดงความชอบธรรม และทรงเทฝนลงมาให้พวกเจ้า คือฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดูอย่างแต่ก่อน”

3. พระเจ้าจะประทานพระวิญญาณในวาระสุดท้าย

โดยเฉพาะคำทำนายเรื่องการเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวาระสุดท้าย ซึ่งสำเร็จแล้วในกิจการบทที่ 2

โยเอล 2:28-29 ต่อ​มา​ภาย​หลัง​จะ​เป็น​อย่าง​นี้ คือ​เรา​จะ​เท​วิญ​ญาณ​ของ​เรา​มา​เหนือ​มนุษย์​ทุกคน บุตร​ชาย​บุตร​หญิง​ของ​เจ้า​จะ​เผย​พระ​วจนะ คน​ชรา​ของ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​จะ​ฝัน และ​คน​หนุ่ม​ของ​พวกเจ้า​จะ​เห็น​นิมิต ใน​เว​ลา​นั้น เรา​จะ​เท​วิญ​ญาณ​ของ​เรา มา​เหนือ​แม้​กระ​ทั่ง​คน​ใช้​ชาย​หญิง

เปโตรได้เทศนาอธิบายเหตุการณ์การเทลงมาของพระวิญญาณฯ ในวันเพ็นเทคอสต์โดยอ้างอิงพระธรรมโยเอล โดยไม่ได้กล่าวถึงฝน

‭‭กิจการ‬ ‭2‬:‭16‬-‭17‬ ‭แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมด บุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะ บรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และบรรดาคนแก่ของท่านทั้งหลายจะฝันเห็น”

หากดูลำดับการเขียนคำพยากรณ์ของโยเอล เราจะพบว่าการเทลงมาของพระวิญญาณในกิจการฯ บทที่ 2 ไม่ได้เชื่อมโยงกับฝนด้วยซ้ำ แต่เชื่อมโยงกับคำพยากรณ์ของโยเอลที่พูดถึงยุคต่อมาหลังจากนั้น

3. คริสเตียนโปรเตสแตนต์กลุ่มปฏิรูปอัครทูตใหม่ (New Apostolic Reformation หรือ NAR)

กลุ่ม NAR ต่อยอดจากกระแส Latter Rain Movement  (ปี 1948) ที่มีการเน้นเรื่องการเผยพระวจนะพยากรณ์เป็นคนๆ การนมัสการที่มีทีมนมัสการ และพันธกิจของของประทานผู้นำทั้ง 5 (Fivefold Ministry) โดยเสนอว่าพระเจ้าจะทรงปฏิสังขรณ์หรือนำการรื้อฟื้นกลับมาของของประทานผู้นำทั้ง 5 ซึ่งได้แก่ 1. อัครทูต 2. ผู้เผยพระวจนะ 3. ผู้ประกาศ 4. ศิษยาภิบาล และ 5. อาจารย์ (นักศาสนศาสตร์สายหลักมีความเห็นว่าศิษยาภิบาลและอาจารย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่แยกกัน)

มีการเน้นของประทานอัครทูตและผู้เผยพระวจนะในระดับโลก โดยวางเครือข่ายโครงสร้างผู้นำอัครทูต โดยแต่งตั้งอัครทูตตามภูมิศาสตร์ ให้ขึ้นตรงกับอัครทูตเป็นชั้นๆ จนมาถึงอัครทูตใหญ่ 12 คนในระดับโลก ซึ่งให้คุณค่าเทียบเท่าอัครทูต 12 คนที่พระเยซูคริสต์ได้แต่งตั้งขึ้น และท่ามกลาง 12 อัครทูตใหม่นี้ จะมี 1 อัครทูตคือผู้ก่อตั้งกลุ่ม “ปฏิรูปอัครทูตใหม่ (New Apostolic Reformation)” เป็นประธาน (Presiding Apostle) 

แนวคิดนี้อ้างจากพระธรรมวิวรณ์ที่กล่าวถึงผู้อาวุโส 24 คน ที่นมัสการล้อมรอบพระเจ้าในการนมัสการในสวรรค์  ซึ่งแนวความเชื่อนี้จะสอนว่า 12 อัครทูตยุคแรกคือสาวกของพระเยซู และจะมี 12 อัครทูตในยุคหลังจะเกิดขึ้นเพื่อเตรียมการมาของพระเยซูในครั้งที่สอง และนำคริสตจักรเข้าสู่ยุคพันปี

วิวรณ์ 19:4 และพวกผู้ปกครองทั้งยี่สิบสี่คนกับสัตว์ทั้งสี่นั้น  ก็ได้ทรุดตัวลงนมัสการพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น  และร้องว่า  "อาเมน  อาเลลูยา"

ในวงการศาสนศาสตร์ ผู้ปกครอง 24 คน หรือผู้อาวุโส 24 คน ในหนังสือวิวรณ์ ยังเป็นข้อถกเถียง และไม่มีใครสามารถสรุปได้ชัดเจนว่าหมายถึงใครหรืออะไรกันแน่ มีความเห็นที่หลากหลายเช่น

1. บางกลุ่มอธิบายว่าเป็นทูตสวรรค์ทั้ง 24 ตน 

2. บางกลุ่มอธิบายว่า 12 คนแรกคืออัครทูตของพระเยซูคริสต์ 12 คนหลังเป็นตัวแทนของผู้เชื่อที่มีชัยชนะและได้สวมมงกุฎแห่งความชอบธรรมเป็นสัญลักษณ์ 

3. บางกลุ่มอธิบายว่า 12 คนแรกเป็นตัวแทนของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล 12 คนหลังเป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์แต่งตั้งขึ้น 

4. และกลุ่ม New Apostolic Reformation (NAR) ซึ่งนำเสนอความคิด Fivefold Ministry ได้เลือกที่จะอธิบายว่า 12 คนแรกเป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์แต่งตั้งขึ้น 12 คนหลังเป็นอัครทูตของยุคใหม่ที่กำลังจะถูกรื้อฟื้นกลับมา 

อย่างไรก็ตามการตีความหมายเนื้อหาในหนังสือวิวรณ์โดยเฉพาะเรื่องการนมัสการในสวรรค์เป็นเรื่องที่ยากเพราะยังมีใครสามารถเข้าใจภาพต่างๆ ได้ทั้งหมด การจับรูปแบบแล้วสรุปในลักษณะความหมายตรงไปตรงมาเพื่อนำมากำหนดโครงสร้างผู้นำในคริสตจักรจึงมีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งความจริงแล้วการกำหนดโครงสร้างผู้นำในลักษณะอื่นในหนังสือกิจการก็มีให้เห็นชัดเจนกว่า

มีการแต่งตั้ง และเจิมตั้ง 12 อัครทูตยุคใหม่มาเป็นช่วงๆ หลายครั้ง โดยไม่มีหลักชัดเจนตามพระคัมภีร์ เมื่อคนที่ถูกแต่งตั้งเป็นอัครทูตตายไป กลุ่มความเชื่อเหล่านี้ก็สลายไปตาม แต่ก็มีการรื้อฟื้นกลับมาบ่อยๆ และทุกครั้งที่รื้อฟื้นกลับมาก็จะบอกว่าพระเจ้ากำลังรื้อฟื้นของประทานผู้นำทั้ง 5 หรือ Fivefold Ministry ให้กลับมาทำหน้าที่ในพระวรกาย

การรับใช้ตามของประทานผู้นำทั้ง 5 หรือ Fivefold Ministry ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะของประทานผู้นำทั้ง 5 เป็นของประทานที่มีในพระคัมภีร์ เป็นของประทานบุคคลที่พระเจ้ามอบให้แก่คริสตจักร แต่การกล่าวอ้างในเชิงโครงสร้างผู้นำหรือการสร้างเครือข่ายอัครทูตยุคหลัง เป็นสิ่งที่น่าสงสัยในหลักการพระวจนะ คริสตจักรและผู้เชื่อที่ไม่เข้าใจเรื่องของประทานผู้นำทั้ง 5 อาจจะถูกชักจูงให้เข้าใจผิดได้

ความคิดเห็น